กรมอุตุฯ ร่วมลงนาม MOU ไปรษณีย์ไทย แชร์ข้อมูลพยากรณ์อากาศวางแผนงานด้านโลจิสติกส์

วันนี้ (22 มิ.ย. 2566) ดร. ชมภารี  ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ร่วมกับ นายดนันท์  สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิชาการและแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่าง กรมอุตุนิยมวิทยา (อต.) กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนะสิทธิ์  เอี่ยมอนันชัย รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ฝ่ายวิชาการ และ นายนเรศ  ไชยวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานระบบไปรษณีย์และปฏิบัติการนครหลวง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ลงนามเป็นพยาน ณ ห้องภาณุพันธุวงศ์ อาคารภาณุรังษีไปรษณียาคาร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (สำนักงานใหญ่) ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

ดร. ชมภารี เปิดเผยว่า กว่า 8 ทศวรรษของกรมอุตุนิยมวิทยา ภารกิจด้านการพยากรณ์อากาศและการแจ้งเตือนภัยธรรมชาตินั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาที่เป็นผลผลิตของกรมฯ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ได้หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาเพื่อวางแผนบริหารจัดการด้านการคมนาคมและขนส่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละวันที่ปัจจุบันมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของ E-Commerce

ดังนั้น ความร่วมมือด้านวิชาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา และไปรษณีย์ไทยในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สองหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะได้ร่วมกันพัฒนา ส่งเสริมสนับสนุน และยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการของไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญในฐานะผู้ให้บริการและหน่วยงานภาครัฐให้สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ในที่สุด

ทางด้านนายดนันท์ กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในจุดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ร่วมกับการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เกิดนัยยะสำคัญ ซึ่งจะสะท้อนความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการพัฒนาบุคลากร เพิ่มพูนทักษะและเรียนรู้ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ความร่วมมือในวันนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่มุ่งไปสู่การพัฒนาและสนับสนุน ด้านเศรษฐกิจ ในการให้บริการของไปรษณีย์ไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป